วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โพส นานาสาระความรู้

สมาชิกที่มีสาระความรู้หรือขอ้คิดเห็น ที่ไม่อยู่ในกลุ่มอื่นๆ ขอให้ใช้ช่องทางนี้ จะได้ติดตามได้อย่างสะดวก รวดเร็ว

50 ความคิดเห็น:

  1. 1+1=2
    2+2=4
    4+4=8
    8+8=16
    16+16=32
    32+32=64
    64+64=128
    128+128=256
    256+256=512
    512+512=1024
    หัดฉลาดกานบ้าง

    ตอบลบ
  2. ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านข้อความนี้โดยเฉพาะคุณหนู

    วิถีชนบท ชาวนาไทย
    วิถีชีวิตชนบทชาวนาไทย ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘- ๒๕๒๓ [อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก]
    ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ การเกษตรกรรมยังคงเป็นแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง ยังไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงหรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆในภาคเกษตรกรรม เว้นก็แต่ รถไถนาขนาดใหญ่ที่จะพบเห็นบ้างในห้วงปลายๆ ของช่วงนี้ ซึ่งนับได้ว่าในห้วงปลายนี้ เป็นห้วงของการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมไปสู่สังคมเกษตรกรรมยุคใหม่ ที่อาศัยเครื่องจักรกลทุ่นแรงมาแทนที่ และได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ที่เป็น Mass Productivity
    เดือนหกตามปฏิทินไทย [จันทรคติ] ฝนแรก ตกลงมาส่วนใหญ่ก็คล้อยสงกรานต์ไปแล้วสัก 2 สัปดาห์หรือมากกว่าเล็กน้อย น้ำฝนนองขังอยู่ตามท้องทุ่งพอให้ปลาพล่านออกจากหนองแลบึงสวนทางน้ำไหลขึ้นมา โดยเฉพาะปลาหมอไทยนั้นเก่งที่สุด น้ำมีที่ไหน ปลาหมอไปถึงก่อนปลาอื่นๆ และก็เป็นโอกาสของชาวนาที่จุดคบไฟหรือตะเกียงโคม [น้ำมันก๊าด] ถือฉมวก บ้างก็แห บ้างก็ใช้สุมออกหากบและอึ่งอ่างที่ร้องระงมตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เดินเลาะเลียบตามหนองคลองบึงไปเรื่อยๆ กบและอึ่งอ่างนั้นสังเกตได้ง่าย เพราะตาต้องกับแสงไฟ เมื่อเดินไปได้ระยะก็ครอบหรือแทงเอา พอใกล้ค่อนรุ่งปลาใหญ่น้อยทั้งหลายก็จะพล่านสวนน้ำขึ้นมา สังเกตได้จากหญ้าที่ไหวหรือเห็นตัวเลยก็มี กว่าจะกลับบ้านก็เช้า บางคนก็เดินไล่เก็บหอยขมหอยโข่งตามทางเดินจนถึงบ้าน
    [ฝนแรก หมายถึง ฝนห่าใหญ่ครั้งแรกของปี]
    เมื่อคะเนว่าดินท้องนาอ่อนตัว ชาวนาจะเริ่มทำการไถดะ [ไถนาเพื่อตากดิน]

    ตอบลบ
  3. วิถีชนบท ชาวนาไทย(ต่อ)

    โดยใช้ความเป็นหลัก จะมีก็น้อยรายที่ใช้วัวไถนา วิถีชีวิตเริ่มประมาณ ตีสี่ตีห้าของวัน จะได้ยินเสียงกระดึงคอความดังสลับกับเสียงไล่ควายไปตามทางลงทุ่งเป็นระยะๆ การไถนาจะเริ่มทันทีที่รุ่งสาง โดยพ่อบ้านและลูกชาย ส่วนแม่บ้านหรือลูกสาวจะต้องตื่นกันแต่เช้าเช่นกัน เตรียมทำกับข้าวไปส่งที่ทุ่งนา ส่วนใหญ่กับข้าวจะเป็นปลาที่ได้เตรียมเสบียงไว้แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา ส่วนผักจะเป็นหน่อไม้ดองที่ได้ขึ้นไปเก็บบนเขามาดองเก็บไว้หลายๆไห หรือถ้าโชคดีหน่อย ก็เป็น ปลา กบ เขียดที่หาได้จากฝนแรกครั้งนี้
    กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล ตอนไถนานี้จะมีสมาชิกมาเดินตามไปเป็นเพื่อ เช่น นกเอี้ยง นกกิ้งโครง มันเดินตามไล่จิกกินแมลงที่กระโดด รวมทั้งไส้เดือนที่ติดมากับหน้าดินที่ถูกพลิกขึ้นมา ชาวนาจะหยุดทานข้าวกลางวันอีกทีก็หลังเพล สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้
    กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล จึงจะมาทานข้าวกลางวัน สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้ บางที่เรียกว่ากินข้าเพลเหมือนพระไปเลย โดยอาศัยเสียงกลองเพลจากวัดหรือจากดวงตะวันแทน ในระหว่างที่พ่อบ้านไถนา ใช่ว่าแม่บ้านจะอยู่เฉยๆ แม่บ้านจะต้องจับจอบขุดมุมนาทั้งสี่ด้านที่ควายไถไปไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อน ตอนเช้าก็เดินหาบคอนมาทุ่ง ด้านหน้ามีตะกร้าใส่ลูกน้อย ด้านหลังเป็นเสบียงอาหาร เมื่อถึงนาก็ผูกเปล ใต้ต้นไม้หรือห้างนา [เถียงนา] ที่ได้มาปรับปรุงไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องมดไต่ ไรตอมก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก ลูกชาวนากับมดแมงนั้นคุ้นเคยกันดีอยู่
    [เปลผ้าถุง หมายถึง เปลที่ใช้ผ้าถุงของแม่ สอดเชือกในผ้าถุงไปกลับ ปล่อยปลายเชือกทั้งสองด้านไว้ ตัวลูกก็อยู่ระหว่างเชือกสองเส้น ให้ไม้ถ่างหัวท้ายกว้างพอประมาณ]
    ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยย้อมสีคราม ตอนเช้ายังไม่ใส่เสื้อ สายๆหน่อยถึงจะใส่เสื้อผ้าดิบย้อมสีคราม ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงและเสื้อผ่าดิบย้อมครามเช่นกัน
    หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ก็จะพักผ่อนนานหน่อย พวกผู้ชายมักจะเดินด่อมๆไปตามที่มีน้ำขัง เก็บหอยโข่ง หอยขมห่อใส่ผ้าขาวม้าไปต้มใส่หน่อไม้ดองเป็นอาหารเย็น
    พอบ่ายแก่ๆ ก็จะพักให้ควายกินหญ้าจนใกล้ค่ำ แม่บ้านที่มีลูกหรือมีลูกอ่อนก็จะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมหุงหาอาหารไว้กินมื้อเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะเดินดุ่ยๆกลับบ้านเสียเลยก็ไม่ใช่ จะเดินแวะเก็บผักเรื่อยๆไปจนถึงบ้าน แต่ถ้าเป็นแม่บ้านที่ยังไม่มีลูกก็มักจะกลับพร้อมพ่อบ้าน
    ถึงเวลากลับบ้าน พ่อบ้านมักจะทิ้งคันไถและอุปกรณ์ไว้ในนา บางคนก็จมดินไว้ ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครมาเอาไป เป็นกิจวัตรของพ่อบ้านที่ต้องต้อนควายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของความ เมื่ออิ่มหนำหรือใกล้ค่ำ ก็จะเดินเล็มหญ้าบ่ายหน้ามาทางบ้านเสมอ พ่อบ้านส่วนใหญ่ก็จะเล็งหาแหล่งน้ำที่ลึกพอจะอาบน้ำก่อนเข้าบ้านไปในคราวเดียวกัน น้ำฝนใหม่นั้นใสจนอดใจไม่ได้ พลบค่ำก็ถึงบ้าน เสียงกระดึงคอความสลับกับเสียงไล่ควายแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ บ้านไหนที่แม่บ้านเพิ่งกลับถึงบ้านพร้อมกับพ่อบ้านก็ต้องรีบหุงข้าวทำกับเสียงครกดัง กกๆๆ ไม่เกินสองทุ่ม ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสงบ จะได้ยินบ้างก็แต่เสียงกระดึงคอควายที่ทันสะบัดไล่ยุงไล่แมลง ในคอกควายจะต้องทำพื้นที่เป็นสองส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่แห้ง อีกส่วนเป็นปลักไว้ให้ควายนอนโคลน เพื่อไม่ให้ยุงหรือแมลงกัดถึง
    วิถีชีวิตของแม่ลูกอ่อน หลังจากออกไฟแล้วก็ต้องทำงานตามปกติ แม้กระทั่งระหว่างตั้งครรภ์ก็เหมือนกัน ไม่ได้ปวกเปียกเหมือนเช่นคนปัจจุบัน

    ตอบลบ
  4. วิถีชนบทไทย (๑)
    ฝนแรกในสมัยก่อนนั้น แรงมากๆ ฝนแรกจะมาทั้งลมพายุและลมฝน ถ้ามาตอนหัวค่ำจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดง ตอนเช้าหลังจากพายุผ่านไปนั้น ตามท้องทุ่งนาจะพบเห็นต้นไม้หักโค่นลงมาพร้อมกับลูกนกหรือรังนกที่ไข่แตกกระจาย ลูกนกบางรายก็ตาย ที่โชคดีหน่อยก็มีคนเก็บมาเลี้ยง นกในสมัยนั้นยังมีมากมาย นับชนิดไม่ถ้วน ถ้าไม่ใช่หน้าฝน ในตอนเย็นจนถึงพลบค่ำ จะมีฝูงนกบินเป็นฝูง พวกใครพวกมัน คลาคล่ำส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วท้องฟ้า ถ้าใครสังเกตให้ดี ก็จะพบว่ามันไม่ได้บินโดยไม่มีระเบียบ นกจะบินโดยมีผู้นำเสมอและเป็นรูปตัววีในภาษาอังกฤษ จะมีก็แต่นกนางแอ่นเท่านั้นที่บินวนจนไม่รู้ว่ารูปอะไร แต่มันก็บินจากเขาไปทางบึงและด้านตะวันออกไปด้านตะวันตกเสมอ ความที่มากจนเด็กหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ต้องมานั่งยิงหนังสะติ้ก เสียลูกกระสุนเป็นร้อยๆโดยไม่ได้นกแม้แต่ตัวเดียว แต่ก็ยิงอยู่ได้ทุกวัน
    ฝนแรกนั้นมีคุณอนันต์จริงๆ บ่งบอกถึงฤดูทำนาและยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์ตามมา ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้งหรือผักอื่นๆที่หลงเหลือเพียงเบี้ย เมื่อได้น้ำฝนก็แข่งกันผลิยอดแตกกอ อาหารการกินสมัยนั้น ไม่ต้องซื้อหา เพียงเดินริมรั้วหรือชายทุ่งก็มีเหลือเฝือ
    ก่อนฝนแรกจะมานั้น จะมีฝนนำมาก่อนพอให้เบี้ยผักและกอหญ้าที่ถูกไฟเผาได้ชุ่มชื้น ผักก็แตกยอดหญ้าก็ระบัดใบ ไม้ไผ่ในป่าข้างบ้านและหัวไรปลายนาก็แทงหน่อ สมัยนั้น หน่อไผ่มีมากเสียจนเก็บกันไม่ทัน ปล่อยให้หน่อสูง พอได้มีโอกาสเป็นต้นใหม่ ชาวนาจึงมักจะเลือกเฉพาะหน่อไผ่บง ที่หักหน่อยาวสักศอกเศษๆ เอามาเผาไฟให้พอสุกหอม เสร็จแล้วก็เอาไม้ไผ่มากรีดให้เป็นเส้น ๆ แต่ก็ไม่ได้เอามาผัดไข่เหมือนเช่นสมัยนี้ เพราะสมัยก่อน ไข่มีไว้สำหรับเพาะลูกไก่หรือสำหรับเด็กเล็กหรือผู้ป่วยพักฟื้นเท่านั้น
    จริงๆแล้ว บนเขาจะมีฝนก่อนพื้นราบ ชาวนาจะไปเก็บหน่อไม้บนเขามาดองเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับฤดูการทำนา แต่ถ้าเป็นหน่อไม้คายเขาจะเผาแล้วจับเป็นมัดๆ เก็บไว้ต้มจิ้มน้ำพริกอร่อยดี เพราะว่าจะมีรสหวานอมเปรี้ยวซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไผ่ชนิดนี้
    ในทุ่งนาหลังฝนใหม่ อายดินกลิ่นหอมบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทุ่ง ขอให้มีน้ำก็เพียงพอแล้ว หญ้าที่ผ่านการถูกเผาด้วยไฟในหน้าแล้ง จะแทงยอดมาเป็นอาหารชั้นดีให้กับคนและวัวควาย ใช่! คนและวัวควายกินอาหารชนิดเดียวกันนั่นเลย ในทุ่งนาตามแนวคันนาและแนวป่า ผักตำลึง ผักกระโดนน้ำกระโดนดิน จิกนาและเม็ก ถ้าโชคดีหน่อยไปก่อนคนอื่นๆ ก็จะได้ผักหวานป่ายอดเปราะไว้ทำแกงผักหวาน ก็ผักหวานนั้นอยู่ตรงไหน ใครๆก็รู้ แต่ถ้าเข้าไปในป่าละเมาะรอบๆนา หน้าเห็ดเผาะ ก็ไล่เก็บไปตามรอบๆพุ่มไม้ตับเต่า เพราะเห็ดเผาะชอบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ที่มากด้วยพลวง พะยอม แดงและประดู่ ส่วนเต็งนั้นมักจะเป็นต้นใหญ่ๆและป่าค่อนข้างทึบน่ากลัว ป่าก็ยังเป็นป่า แม้แต่ป่าข้างรั้วบ้านก็ตามที มอสเกาะต้นไม้ใหญ่จนเป็นสีเขียวทั้งต้น กล้วยไม้ป่านานาชนิดยังเกาะต้นไม้ กระแตไต่ไม้และพืชชั้นต่ำยังมีให้เห็น ความอุดมสมบูรณ์ของป่านั้น แม้แต่ป่าข้างบ้าน สัตว์ป่า กระรอก กระแต อีเห็น เสือปลา พังพอนและนิ่ม ส่วนงูนั้น ให้ระวังพวกงูเหลือมงูหลาม ตัวขนาดโคนขาผู้ใหญ่ เข้าป่าใกล้บ้านจึงต้องมีมีดซุยหรือมีดเดินป่าที่คมกริบขนาดโกนขนหน้าแข็งให้ราบเรียบได้อย่างสบาย เขาจึงมักหวงกันนักหนาไม่ใคร่ให้ใครยืมหรือจับคมมีด และห้ามปักมีดบนดิน หน้าแล้งบางปีก็พบหมูป่าและเลียงผาที่ถูกเสือต้อนหนีเตลิดลงจากเขามาให้หมาไล่ก็มี
    ฝนแรกนั้น สำหรับนาบึงหรือนาตามชายขอบบึงจะมีน้ำขัง ชาวนาจะต้องรีบไถดะและไถแปรและรีบหว่านข้าวทำนาหว่าน เมื่อน้ำมา ต้นข้าวจะได้ตั้งตัวและยืดหนีน้ำได้ทัน ลำพังน้ำท่วม ถ้าข้าวยืดหนีน้ำได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ก็แสดงว่า ปีนั้นนาหว่านจะได้ผลดี

    ตอบลบ
  5. วิถีชนบทไทย(๒)
    สำหรับนาดำนั้น ก็ต้องรอตากดินจนกว่าฤดูทำนาจะมาถึงจริงๆ แต่จะต้องปลูกกล้าข้าวไว้ใช้ดำนา เริ่มจากการกักน้ำไว้ในแปลงนาที่จะทำแปลงกล้าข้าว โดยไถดินและไถซ้ำ (ไถสอด) หลังจากนั้นจึงคราดเอาหญ้าออก แล้วจึงจะปรับพื้นที่ด้วยขลุบ จะได้ยินเสียงขลุบตีน้ำและดินดังแต่ไกล[เทือกนา] ช่วงนี้เด็กๆ มักจะเดินตามผู้ใหญ่ไปด้วย คอยจับปลาและกบที่กำลังงง เมื่อแล้วเสร็จทิ้งไว้บ่ายๆก็หว่านข้าวกล้าได้ที่ได้เตรียมพันธุ์ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่จะเอามาหว่านก็จะต้องนำข้าวพันธุ์ใส่กระสอบแช่น้ำไว้สัก ๑ คืนก่อนจึงเอามาหว่านได้ หลังจากหว่านแล้วให้ทิ้งไว้ ๑ คืน ก็ต้องไขน้ำออกจากแปลงข้าวกล้า ช่วงนี้ก็ต้องระวังพวกนกพวกหนูไม่มากวน หลังจากนั้นอีก ๑๐-๑๕ วันจึงจะไขน้ำเข้ามาในแปลงกล้าข้าวได้ กล้าข้าวที่จะนำไปปลูกได้ ควรจะมีอายุไม่น้อยกว่า ๒๕ วัน
    ช่วงระหว่างรอฤดูฝนที่จะมาจริง ชาวนาจะต้องทำการซ่อมคันนาอุดรอยรั่วที่เกิดจากหนูและปูให้เรียบร้อยหรืออาจจำเป็นต้องเสริมคันนาให้สูงขึ้น ถ้าเป็นคันนาสูงๆ ก็ต้องใช้พลั่วยาวและมีที่เหยียบสำหรับเวลาแทงดิน แต่ถ้าเป็นคันนาเตี้ยๆก็นิยมใช้จอบและเสียมก็เพียงพอ สำคัญอยู่ที่การเรียงดินที่เสริมขึ้นมา ต้องเรียงให้เป็นระเบียบและห้ามคนขึ้นไปเดิน บางรายก็ใช้หนามคลุมไว้ก็มี นอกจากนั้นชาวนาต้องใช้เวลาช่วงนี้ออกหาเสบียงไว้สำหรับฤดูทำนา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง ชาวนาจะไม่มีเวลาไปหาปูหาปลาหรือแม้กระทั่งขึ้นไปเก็บหน่อไม้บนเขา

    ตอบลบ
  6. วิถีชนบทไทย(๓)
    สำหรับนาดำนั้น ก็ต้องรอตากดินจนกว่าฤดูทำนาจะมาถึงจริงๆ แต่จะต้องปลูกกล้าข้าวไว้ใช้ดำนา เริ่มจากการกักน้ำไว้ในแปลงนาที่จะทำแปลงกล้าข้าว โดยไถดินและไถซ้ำ (ไถสอด) หลังจากนั้นจึงคราดเอาหญ้าออก แล้วจึงจะปรับพื้นที่ด้วยขลุบ จะได้ยินเสียงขลุบตีน้ำและดินดังแต่ไกล[เทือกนา] ช่วงนี้เด็กๆ มักจะเดินตามผู้ใหญ่ไปด้วย คอยจับปลาและกบที่กำลังงง เมื่อแล้วเสร็จทิ้งไว้บ่ายๆก็หว่านข้าวกล้าได้ที่ได้เตรียมพันธุ์ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่จะเอามาหว่านก็จะต้องนำข้าวพันธุ์ใส่กระสอบแช่น้ำไว้สัก ๑ คืนก่อนจึงเอามาหว่านได้ หลังจากหว่านแล้วให้ทิ้งไว้ ๑ คืน ก็ต้องไขน้ำออกจากแปลงข้าวกล้า ช่วงนี้ก็ต้องระวังพวกนกพวกหนูไม่มากวน หลังจากนั้นอีก ๑๐-๑๕ วันจึงจะไขน้ำเข้ามาในแปลงกล้าข้าวได้ กล้าข้าวที่จะนำไปปลูกได้ ควรจะมีอายุไม่น้อยกว่า ๒๕ วัน
    ช่วงระหว่างรอฤดูฝนที่จะมาจริง ชาวนาจะต้องทำการซ่อมคันนาอุดรอยรั่วที่เกิดจากหนูและปูให้เรียบร้อยหรืออาจจำเป็นต้องเสริมคันนาให้สูงขึ้น ถ้าเป็นคันนาสูงๆ ก็ต้องใช้พลั่วยาวและมีที่เหยียบสำหรับเวลาแทงดิน แต่ถ้าเป็นคันนาเตี้ยๆก็นิยมใช้จอบและเสียมก็เพียงพอ สำคัญอยู่ที่การเรียงดินที่เสริมขึ้นมา ต้องเรียงให้เป็นระเบียบและห้ามคนขึ้นไปเดิน บางรายก็ใช้หนามคลุมไว้ก็มี นอกจากนั้นชาวนาต้องใช้เวลาช่วงนี้ออกหาเสบียงไว้สำหรับฤดูทำนา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง ชาวนาจะไม่มีเวลาไปหาปูหาปลาหรือแม้กระทั่งขึ้นไปเก็บหน่อไม้บนเขา
    ช่วงเวลานี้เช่นกัน ที่เป็นช่วงเวลาของการขุนวัวควายให้อ้วนพี ด้วยหญ้าระบัดที่งอกงามจากน้ำฝนตามคันนาที่ถูกเผาไปเมื่อหน้าแล้ง และหญ้ากลางนาที่งอกงามจากเบี้ยที่หลงเหลืออยู่จากหน้าแล้ง ประกอบกับน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ หน้านี้จึงเห็นปลักควายอยู่ทั่วไปตามท้องทุ่ง
    แต่สำหรับนาใหม่ ซึ่งก็คือนาที่เพิ่งจะบุกเบิกจากป่าละเมาะหรือป่าไผ่ ก็จะเหนื่อยเอาการอยู่ เพราะจะต้องถางป่า และขุดต้นไม้ออกจากแปลงให้มากที่สุด ต้นไม้ที่ได้ก็เอามาเผ่าถ่านเก็บไว้ใช้ในครัวเรือนได้อีก การถางป่านั้น โดยทั่วไปเขาจะถางป่าหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวไปแล้ว ปล่อยให้ไม้แห้งโดยการทิ้งไว้จนใกล้ฤดูฝน จึงจะเผาได้ แต่จะต้องเตรียมการไว้ให้ดี คือมีแนวกันไฟ ระดมคนไว้คอยดับไฟ ถ้าหากมีไฟออกนอกแนวกันไฟ เมื่อพลบค่ำจึงจะเริ่มจุดไฟได้ เสียงไฟประทุผสมกับเสียงระเบิดของปล้องไผ่ที่ถูกความร้อน และก็เป็นเรื่องปกติที่มีไฟก็ต้องมีลม บางครั้งจึงดูน่ากลัวถ้าเผาป่าใกล้บ้านมากๆ เพราะหลังคาบ้านเป็นหญ้าแฝกทั้งสิ้น ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่ต้องเผาป่าใกล้บ้าน จึงต้องเตรียมถังน้ำและคนอยู่บนหลังคาไว้พร้อม
    อย่างไรก็ตาม การเผาป่าด้วยตามลักษณะนี้ หนีไม่พ้นที่จะมีการทำลายสัตว์ป่าไปด้วยฉะนั้น เมื่อมีการเผาป่า ชาวนาจะเตรียมปืนลูกซองยาวหรือปืนแก็บแล้วก็ไปดักตามด่านที่สัตว์จะหนีไฟออกไปเข้าทางปืน ส่วนใหญ่จะเป็น เสือปลา อีเห็น พังพอนและนิ่ม แต่บางครั้งก็น่าอเนจอนาถ ถ้าป่านั้นมีแมวป่าที่มีลูกอ่อนอาศัยอยู่ สัตว์พวกนี้มีสัญชาตญาณการหนีไฟ แต่ไม่สามารถเอาลูกเล็กไปได้ อย่างไรก็ตามลูกแมวป่านั้น ชาวบ้านชอบที่จะเก็บเอามาเลี้ยง เพราะเก่งในการจับหนูที่จะมากินพืชพันธุ์ที่เก็บไว้ แต่ที่สุดแล้ว สัญชาตญาณของแมวป่านั้นชอบที่จะอยู่ป่าและหากินไกลๆ มันจะออกจากบ้านเมื่อโตขึ้น แล้วก็ปล่อยให้เจ้าของที่เลี้ยงเฝ้าคิดถึงมันด้วยความห่วงหา นาใหม่ผสมกับเถ้าธุลีนั้น ขอให้มีน้ำพอชุ่มชื้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการปลูกข้าว วิธีการปลูกก็คล้ายกับนาดำ แต่ไม่ต้องตีคราดหรือขลุบ เพราะน้ำจะยังไปไม่ค่อยถึง ใช้เพียงไม้แหลมแทงดินให้เป็นรูขนาดพอที่จะใส่กล้าข้าวก็พอ ต้นข้าวในนาใหม่ก็จะแตกพุ่มกว้างใหญ่ให้ผลผลิตดีเหลือเกิน นอกจากนั้น นาใหม่ยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นผักในแปลงนาหรือแม้กระทั่งปลาดุกที่ชอบเหลือเกินกับนาใหม่
    เมื่อฝนในฤดูฝนมาเยือน ชาวนาก็จะเริ่มวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาในสมัยปู่ย่า เสียงกระดึงคอควายสลับกับเสียงไล่ควายเริ่มแต่ก่อนรุ่งสาง ไถแปรแล้วจึงไถสอด คราดแล้วจึงตีขลุบ คนถอนกล้าก็ถอนเตรียมไว้ ก่อนถอนกล้านั้น การถอนกล้านั้น โดยทั่วไปใช้มือซ้ายรวบใบกล้าบิดเล็กน้อยมือขวาประคองแล้วลากเกือบขนานกับพื้นระนาบ แล้วฟาดต้นกล้ากับฝ่าเท้าให้ดินหลุดจากรากกล้าข้าวพอประมาณ นั้นคนถอนกล้าจึงมักเปื้อนดินโคลน เพราะดินที่กระเด็นจากตัวเองทำเองบ้าง จากคนข้างเคียงบ้าง เมื่อได้ขนาดพอดีแล้ว จึงมัดเป็นกำๆ แช่น้ำไว้

    ตอบลบ
  7. วิถีชนบทไทย(๓) (ต่อ)

    การไถนา การถอนกล้าและการดำนา จะต้องรีบทำให้เร็ว จึงมักจะเอาแรงกัน ที่เรียกกันว่า การลงแขก เจ้าของนาจะไปบอกกล่าวเพื่อนบ้าน ขอแรงไถนาวันนั้นวันนี้ แล้วเตรียมอาหารไว้สำหรับเลี้ยงแขก ตามจำนวนที่ได้ขอแรงไว้ และก็เป็นประเพณีที่จะต้องไปใช้แรงคนอื่นๆที่มาช่วยเรา สำหรับอาหารนั้นก็ตามอัตภาพ ขออย่างเดียว อย่าได้เลี้ยงแขกด้วยน้ำพริก ปลาเผาอย่างเด็ดขาด เพราะแขกจะกินกันอย่างเต็มคราบ ข้าวที่เตรียมไว้ก็จะไม่พอ กินมากก็อุ้ยอ้ายแล้วก็ชักง่วงนอน จะพาลเสียการเสียงานไปเปล่าๆ
    การดำนา เมื่อตีเทือกนาได้ที่แล้ว คนที่เตรียมกล้าจะตัดใบกล้าข้าวให้สั้นลงพอประมาณ โดยการปักมีดกับเฉียงๆ แล้วจับมัดกล้ารูดลงให้ใบมีดตัดใบกล้า แล้วจึงหาบกล้ามาโยนทิ้งในเทือกนาในตำแหน่งที่หยิบฉวยได้ โดยที่คนดำนาไม่ต้องเดินไปเดินมาไกลๆให้เสียเทือกนา การหาบกล้านั้นใช้วิธีเรียงกำกล้าเป็นชั้นๆวางในไม้รองกล้า ส่วนผู้ที่ดำนาจะปักกล้าข้าว โดยจับโคนกล้าด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางจิ้มลงในดินแล้วปิดด้วยนิ้วโป้งอีกที การดำนาก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ชาวนาได้สังสรรค์กัน เพราะดำนาไปก็ได้พูดคุยกันไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นการลงแขกก็ยิ่งคึกครื้นมากขึ้น เพราะบางครัวเรือนก็มีวิทยุทรานซิสเตอร์ได้ฟังนิยายหรือฟังเพลงลูกทุ่งไปด้วย บางคนก็มีดีที่โวหารหรือร้องเพลงให้เป็นที่คึกครื้น พอให้ลืมความเมื่อยล้า แต่คนที่อายุมากหน่อย พอกลับถึงบ้านมักจะให้ลูกหลานเหยียบหลังให้ เพราะต้องก้มนานๆ เมื่อดำนาตัวเองเสร็จแล้วก็ไปใช้แรงคนอื่นบ้างไล่วนกันไปจนแล้วเสร็จกันทั้งหมู่บ้านและข้างเคียง ใช้เวลาทั้งหมดก็ไม่เกินเดือน
    ในช่วงเวลานี้ เจ้าของนาต้องหมั่นมาดูแลนาเหมือนกัน คอยดูหมั่นอุดรูน้ำรั่วซึมตามคันนาจึงมักจะเห็นชาวนาแบกจอบและมีดหวดเดินท่อมๆในนา ในนาที่เพิ่งดำเสร็จใหม่ๆ ใช่ว่าจะไม่มีปลาในนาข้าว ในนาข้าวที่เห็นน้ำขุ่นโคลนตมนั้น ชาวนาจะใช้รันดักปลาไหล รันดักปลาไหลใช้ไม้ไผ่ทะลวงปล้องเหลือเฉพาะข้อท้ายลำ ที่ปล้องท้ายลำจะเปิดรูเป็นแนวยาวเกือบตลอดป้อง ด้านหัว รันจะใส่งามีไม้สอดป้องกันงาหลุดและใช้ปักดิน ปลาไหลจะเข้าได้แต่ออกไม่ได้ เหยื่อล่อปลาไหลจะใช้เหยื่อที่เป็นไส้เดือนสับหรือหอยทุบคลุกกับดินให้เป็นก้อน วิธีดักจะใช้เท้าถีบดินใต้น้ำให้เป็นทางเรียบ ใส่เหยื่อลงในรัน กดปากกระบอกรันให้แทนปักดินให้หน้ารันเสมอดิน ส่วนด้านท้ายจะลอยขึ้นให้รูเปิดบางส่วนของท้ายรันปิ่มๆน้ำ เพื่อให้อาหารส่งกลิ่นล่อปลาไหล ให้เอาใบไม้คลุมส่วนนี้ไว้ด้วย ตอนเช้าก็ไปกู้รัน เราจะรู้ว่ารันไหนมีปลาไหลหรือไม่ ก็ในทันทีที่ยกรันขึ้น ถ้ามีหลาไหลอยู่ น้ำที่ไหลจากรันตอนที่ยกรันขึ้นจากน้ำจะเป็นช่วงและมีเสียงดัง
    เมื่อในนาข้าวน้ำเริ่มใสแล้ว มีปลามากมายหลากหลายชนิด ใครใคร่หาจับปลาอย่างไรก็ตามวิธีถนัดของตนเอง
    การหาปลาในนาข้าว มีหลายๆวิธี ได้แก่ การปักเบ็ด การดักลอบ การดักซ่อน
    1. การปักเบ็ด ใช้ไม้ไผ่เหล่าเป็นคันเบ็ด ดัดให้โค้งและอ่อนตัวด้วยการลนไฟอ่อนๆ เสร็จแล้วจึงผูกสายและติดเบ็ด และที่เกี่ยวเก็บเบ็ดตอนที่ไม่ใช้งาน วิธีปักเบ็ดและแหล่งที่จะปักเบ็ดนั้นขึ้นกับชนิดของปลา ที่เราต้องการจะได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องใช้เท้ากวาดดินใต้น้ำให้เรียบก่อนทุกครั้ง จึงจะได้ผลดี
    1.1 การปักเบ็ดปลาช่อน ปลาหมอ มักจะปักในพื้นที่ที่มีน้ำใสค่อนข้างลึกสักหัวเข่าขึ้นไป การกวาดพื้นที่ใต้น้ำสำหรับปลาช่อนนั้นจะต้องเรียบและกว้างกว้าปลาหมอ
    1.2 การปักเบ็ดปลาดุก มักจะเลือกพื้นที่ที่มีหญ้าน้ำรกๆ น้ำใสและไม่ลึก โดยเฉพาะถ้าเป็นนาใหม่จะมีปลาดุกชอบมาอาศัยมากที่สุด
    2. การดักลอบ วิธีนี้จะดักในทางน้ำไหล โดยการกั้นเฝือกหน้าทางน้ำไหลหรือใต้ทางน้ำไหล ยิ่งเฝือกยาวก็จะดี ทั้งหน้าเฝือกและหน้าลอบดักปลาจะต้องอัดหญ้าให้แน่น ถ้าไม่อัดหญ้าแล้วก็รับรองว่าจะไม่ได้ปลาแน่นอน และที่ปากลอบให้ใช้โคลนทาไว้ด้วย
    3. การดักซ่อน ซ่อนเป็นเครื่องมือจับปลาที่ให้ปลาเข้าได้แต่ถอยหลังไม่ได้ ไม่ต้องมีงาเป็นเพียงไม้ไผ่สานรูปกระบอกมัดที่ด้านท้ายเท่านั้น ใช้วางดักปลาในทางน้ำไหลหรือรูน้ำไหล จะได้ผลดีในหน้าหนาว ถ้าเป็นทางน้ำไหลแบบตกลงจะได้ปลาดุก ถ้าเป็นทางน้ำไหลแบบไหลลงธรรมดามักจะได้ปลาช่อนและปลาหมออัดกันจนแน่นซ่อน
    ช่วงเวลานี้เช่นกัน ที่เป็นช่วงเวลาของการขุนวัวควายให้อ้วนพี ด้วยหญ้าระบัดที่งอกงามจากน้ำฝนตามคันนาที่ถูกเผาไปเมื่อหน้าแล้ง และหญ้ากลางนาที่งอกงามจากเบี้ยที่หลงเหลืออยู่จากหน้าแล้ง ประกอบกับน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ หน้านี้จึงเห็นปลักควายอยู่ทั่วไปตามท้องทุ่ง

    ตอบลบ
  8. วิถีชนบทไทย(๔)
    ชีวิตชาวนาในฤดูทำนา เป็นชีวิตที่สนุกสนานของเด็กๆ แม้ว่าจะต้องฝ่าแดดฝ่าฝนไปโรงเรียนก็ตาม ขากลับก็วิ่งเล่นตามทางเดิน ตรงไหนมีน้ำขัง (น้ำใสๆ จริงๆนะ)ก็วิ่งไล่เตะน้ำกระจายใส่กัน เป็นที่สนุกสนาน เสื้อผ้านักเรียนก็ไม่พิถีพิถันมาก บางคนก็มีชุดเดียว นักเรียนชายใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อแขนสั้นสีกากี ส่วนผู้หญิงก็กระโปรงสีน้ำเงินเสื้อสีขาว รองเท้าไม่มี พอถึงบ้านก็รีบถอดเสื้อผ้า ใส่กางเกงตัวเก่ง เสื้อไม่ต้องใส่ วิ่งออกกลางนา หาไม้ไล่ตีกบตีเขียดไปตามประสา อย่างน้อยๆก็มีเขียดปิ้งจิ้มน้ำปลา (น้ำปลาที่เรียกกันว่า น้ำเคยเพราะทำเองหรือไม่ก็น้ำปล้าร้า)ไว้กินกับข้าว ถ้าดีๆหน่อย ก็แกงต้มเปรอะหน่อไม้ใส่ใบย่านาง แต่ถ้าบ้านไหนทำหลนป้าร้าแล้วละก็ กลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านที่เดียว วันหยุดเสาว์อาทิตย์เป็นสวรรค์ของเด็กๆ และมักจะไม่ค่อยได้เห็นหน้ากัน เว้นแต่เวลากินข้าวเย็น เพราะส่วนใหญ่จะกินใครกินมัน เพราะเด็กที่เข้าโรงเรียนแล้ว ถือว่าโตพอแล้ว ช่วยเหลือตนเองได้ เด็กผู้ชายก็มักจะเข้าไปตามชายป่าหากอบปลากัดลูกทุ่งมาเลี้ยง ที่เรียกว่ากอบปลากัด ก็เพราะใช้มือ 2 มือกอบปลากัดขึ้นมาจากหวอดของมัน แต่ตอนสายมากๆ ก็จะฉวยเบ็ดไปตกปลาหมอตามร่มไม้ริมคันนา การตกปลาหมอจะให้ดีต้องใช้เหยื่อปล้าร้า ปลาในบริเวณนั้น จะกรูกันมาตามกลิ่นของปลาร้า แม้แต่ปลายังชอบปลาร้า แล้วทำไมหนอจึงมีคนกระแนะกระแหนปลาร้าเสียเหลือเกิน

    คุณหนูดูไว้เป็นความรู้บาง รู้จักพวกนี้บ้างก็ดี


    ขอวิจารณ์สักหน่อย
    ควายมันยังไถนาเป็น-ควายมันยังรู้จักไถนา-ควายมันยังขยันไถนา
    แล้วพวกคุณหนูจะว่าๆควายมันโง่นั้นไม่ได้

    แล้วพวกคุณหนูทั้งหลาย ไถนาเป็นไหม
    คิดมั่งนะว่า ควาย กับ พวกคุณหนูทั้งหลาย ใครฉลาดกว่า

    ปล.หากข้อความนี้ไดทำลายจิตใจของใครบางคน คุณก็ควรหัดไปไถนาซะมั่งนะครับ จะได้ฉลาดกว่าควย

    บายครับ
    อย่าลืมไปหัดไถนานะครับ

    *()*

    ตอบลบ
  9. ขอโทษครับ

    ช่วยอ่านหน่อย

    ปล.หากข้อความนี้ไดทำลายจิตใจของใครบางคน คุณก็ควรหัดไปไถนาซะมั่งนะครับ จะได้ฉลาดกว่าควย

    ผมพิมพ์ตกสระ-าไป
    จากคำว่า-ควย-ให้เปลี่ยนเป็น-ควาย-ด้วยนะครับ
    อย่าอ่านผิดนะครับ
    เพราะมันจะทำให้ผมเสียหาย

    *{}*

    ตอบลบ
  10. โพสไร ไร้สาระ
    เเร้ว พิมผิด พิมถูกโอ้ย
    ขอร้องเถอะ อยุ่นิ่งๆสะบ้างก็ได้นะ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ15 สิงหาคม 2552 เวลา 09:14

    เป็นไร มากปะ ไอชิน
    เกรียน จริง โว้ย

    ตอบลบ
  12. ชิน ครับ
    ชินภัทรน่าจะอ่านคำที่พิมพ์ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยส่งจะดีไหม
    จะได้ไม่ต้องคอยมาแก้ไขภายหลัง เพราะเมื่อชินคลิกส่งความคิดเห็นลงไปแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้ที่เข้ามาอ่านก็คงต้องการอ่านแต่สิ่งดีๆ ใน Blog นี้ ถ้าชินคิดไม่ออกมาถามก็ได้นะ คราวหน้าระวังนิดหนึ่ง

    ตอบลบ
  13. ปัจจุบันนี้มีการรณรงค์ให้เด็กไทยโพสข้อความบนอินเทอร์เน็ตที่เป็นภาษาไทยอย่างถูกต้อง เพื่ออนุรักษ์ภาษาไทยของเราให้คงสืบต่อไปนี้นะจ๊ะชิน
    เนื่องจากว่า Blog นี้มีทั้งผู้ปกครองและนักเรียนของห้อง ม.1/8 ที่เข้ามา ดังนั้นควรใช้ภาษาที่สุภาพและถูกต้องด้วย

    ตอบลบ
  14. ผลสอบGAT-PAT ครั้งที่ 2
    พบว่า ทุกวิชามีคะแนนเต็ม 300 คะแนน ผลคือ ความถนัดทั่วไปหรือGAT คะแนนต่ำสุด-สูงสุด แบ่งเป็น GAT-1 การคิดวิเคราะห์ 0.00-150.00 ,GAT-2 ภาษาอังกฤษ 0.00-142.50 รวมสองตอน 0.00-287.50 ค่าเฉลี่ย 84.82 , PAT-1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ 0.00-300 เฉลี่ย 87.11 ,PAT-2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ 0.00-235.00 เฉลี่ย 87.93 , PAT-3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ 5.00-260.00 เฉลี่ย 97.86 , PAT-4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ 3.00-189.00 เฉลี่ย 80.75, PAT-5 ความถนัดทางวิชาชีพครู 0.00-219.00 เฉลี่ย 136.87, PAT-6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ 0.00-168.00 เฉลี่ย 102.75, PAT-7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส 3.00-261.00 เฉลี่ย 89.30, PAT-7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน 36.00-273.00 เฉลี่ย 97.80, PAT-7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น 0.00-294.00 เฉลี่ย 95.98,PAT-7.4 ความถนัดทางภาษาจีน 3.00-264.00 เฉลี่ย 77.75,PAT-7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ 48.75-296.25 เฉลี่ย 131.37,PAT-7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี 51.00-186.00 เฉลี่ย 86.36

    ตอบลบ
  15. ค่าใช้จ่ายครั้งละไม่เกิน 200 บาท และยกเว้นไม่เก็บเงินเด็กยากจน สำหรับ PAT-2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ควรแยกเป็น 3 วิชา ได้แก่ เคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์

    ตอบลบ
  16. ไอชิน หัดสรุปมั้ง พูดมากจริง

    ตอบลบ
  17. copy - pasteอย่างเดียวอ่ะดิ
    ทำเปงมีความรู้

    ตอบลบ
  18. ไม่ระบุชื่อ22 สิงหาคม 2552 เวลา 21:11

    นานาสาระความรู้ !!

    เป็นการแจ้ง ผลสอบGAT-PAT ครั้งที่ 2 ให้ทราบนะครับ พ่อคุณ

    ตอบลบ
  19. ด่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอย่างเดียว

    อุตสาห์ในควารู้มาให้

    คนฉลาดจะอ่าน
    คนโง่จะด่า

    ควรรู้ไว้ซะมั่ง

    ฮุ้ด่าๆๆๆอย่างเดียว

    ขึ้นเลย

    ไม่ได้มาเปิดดูแค่2อาทิตย์ด่าซะหมดเปลือกเลย

    บาย

    ตอบลบ
  20. ชินนี่พูดมากจริงเลย

    ตอบลบ
  21. ไม่ระบุชื่อ27 สิงหาคม 2552 เวลา 09:08

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  22. ไม่ระบุชื่อ27 สิงหาคม 2552 เวลา 09:09

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  23. มืงก้อปมาจากเวปอย่างเดียวแหละไอควายกุรุหน้าอย่างมืงอะไปแดรกแฟบไป้!1+1 เท่าไรยังไม่รู้เลย บอกให้ก็ได้ 1+1=2

    ตอบลบ
  24. มี...ของดีมาบอก

    สยองหน่อยนะครับ

    55

    เรื่อง 5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุดจากรอบโลก

    อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ (Sutee Self-Immolation)

    มันคืออะไรกันละเนี่ย?

    การ เผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที) คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆ สามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ฌาปนกิจศพชองเขา และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)

    สุ ตที ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี 1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956 และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)

    ก็ อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิดทำพิธีบ้าๆ แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา

    มี กรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ พวกอินเดียมุงจึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากอง ไฟใหม่

    ...ทำไมถึงทำแบบนี้ละ?

    เมื่อก่อน หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูกตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับหญิงม่ายว่า พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า “ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง?” นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด

    ตอบลบ
  25. เรื่อง 5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุดจากรอบโลก(ต่อ)

    อันดับ 4 การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)

    มันคืออะไรกันละเนี่ย?


    (ใคร ดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ) การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศ ญี่ปุ่น จนกระทั้งถึงช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี 1900

    มัน ง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้ เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ ตัวเองด้วยผ้าพันแผลแล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น

    การ ทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000 วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธคือ อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน

    ต่อ จากนั้น เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้ นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก 1000 วัน จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ “ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”) ทำจากน้ำหล่อเลี้ยงของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจน ท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล

    แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว! ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..


    ...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?


    เดา..... คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้ โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง เมื่อคุณตายแล้ แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา จะทำให้นักบวชวอกแวกได้

    ตอบลบ
  26. เรื่อง 5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุดจากรอบโลก(ต่อ)

    อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan Buddhist Sky Burial)

    มันคืออะไร

    เป็น พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ..... ล้อเล่น ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบตเรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว (ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)

    พระ หนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลัง ร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว


    ...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?


    ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่ม เมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต ซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่ แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ

    ตอบลบ
  27. เรื่อง 5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุดจากรอบโลก(ต่อ)

    อันดับ 2 ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal Body Exposure)

    มันคืออะไร

    เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ ไม่มีหลักฐานนี้หว่า

    อย่าง ไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.................กินศพญาติพี่น้องครับ ท่าน กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว โอยท่าจะอร่อย


    ...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?


    เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา

    ตอบลบ
  28. เรื่อง 5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุดจากรอบโลก(ต่อ)

    อันดับ 1 ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial)

    มันคืออะไร

    กวน จริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้ กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือ Space Funeral ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ บาเตสวิลล์ คาสเก็ต ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ

    ใช่!! คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ http:// www.memorialspaceflights.com ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 695$ เท่านั้นเอง(ล่าสุดมีลูกค้าใช้เงินกว่า 60,000 $ เพื่อไปดวงจันทร์!!

    เมื่อวันเสาร์ (28 เม.ย.) ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า 200 คนขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่ง ในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี สก็อตต์ หรือ สก็อตตี้ หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิกขององค์การบริหารการบินและอวกาศ สหรัฐ (นาซา)

    รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์ เทร็คกว่า 500 คน ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทรายอันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ ปล่อยจรวด ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี 2548 โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 495 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 บาท)ไม่แพงใช่ไหมละ


    ...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?


    ง่ายๆ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ความฝัน และเป็นเรื่องของคนรวยแบบคิดว่าไปสูงยิ่งขึ้นสวรรค์.................


    จบแล้วงับ

    อยากจะศึกษาเพิ่มเติมก็มาที่เว็บ
    http://fwd-amazingworld.blogspot.com/

    ในเว็บนี้มีเรื่องดีดีมากมายที่อยากจะนำมานำเสนอ
    มีทั้งเรื่องขำๆและเรื่องสยองขวัญ รับรับสนุกแน่

    ไปละ
    บาย

    ขอให้โชคดี

    ตอบลบ
  29. ชินครับนี่คือ คำสั่งที่ได้รับจากมิสนะครับ คุณจะเอาเรื่องมาโพสนี่ก็ดีแล้ว แต่ขอให้มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระที่หัวข้อเขา ต้องการ เพราะหัวข้อนี้เขาเกี่ยวกับความรู้นะครับและอีกอย่างนะครับผมสามารถแบนข้อความคุณได้ทุกเมื่อ

    ตอบลบ
  30. มิชาเอล บัลลัค กองกลางทีมชาติเยอรมันของ เชลซี พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คู่แข่งลุ้นแชมป์ ที่แพ้ไปแล้ว 2 เกมในฤดูกาลใหม่ และเชื่อว่า ความหายนะของคู่ปรับสำคัญ ทำให้ทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" มีความเชื่อมั่นว่า จะคว้าแชมป์ไปครองในบั้นปลายเพิ่มมากขึ้น


    "หงส์แดง" ถูกยกให้เป็นคู่แข่งหมายเลข 1 ที่จะเบียดแย่งแชมป์ลีกเมืองผู้ดีกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ทว่าลูกทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ กลับเจ๊งชัยไปแล้วถึง 2 เกม ขณะที่ เชลซี กลับเก็บชัยรวด 4 เกม พร้อมผงาดขึ้นรั้งตำแหน่งจ่าฝูง ทำให้ บัลลัค พูดถึงสถานการณ์ในเวลานี้ว่า "มันน่าประหลาดใจที่ ลิเวอร์พูล แพ้ไปตั้ง 2 จาก 3 เกมแรก และทำให้พวกเรามีแรงกระตุ้นพิเศษมากขึ้นไปอีก ทั้งหมดที่เราทำได้คือเอาชนะเกม เราต้องตั้งสมาธิกับตัวเอง และถ้าเราเล่นได้ดีที่สุด เราก็จะคว้าแชมป์ลีกได้"


    นอกจากนี้ บัลลัค ยังเชื่อว่า การได้พักเบรกฤดูกาล โดยไม่ต้องลงเตะทีมชาติ ทำให้ฟอร์มการเล่นของตัวเองพุ่งแรงในตอนนี้ โดยระบุว่า "มันเป็นช่วงปรี-ซีซั่นที่ดี การจบซีซั่นที่แล้วกับ กุส ฮิดดิ้งค์ ทีมของเราดูดี และเล่นฟุตบอลที่เยี่ยมยอด นี่เป็นสิ่งที่พวกเราทำตอนเริ่มต้นฤดูกาลนี้"


    "โค้ชเป็นคนสำคัญเสมอที่ทำให้บรรยากาศภายในทีมเป็นไปด้วยดี และตั้งแต่ คาร์โล อันเชล็อตติ มาถึง เขาก็รวบรวมทีมกลับเข้ามาไว้ด้วยกัน พวกเรามีความสุขอยู่เสมอเมื่อขึ้นไปรั้งจ่าฝูง มันยังเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาล และเรารู้ว่ายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะเพื่อรักษาตำแหน่งเอาไว้ แต่ชัยชนะหลายเกมทำให้เรามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมากมาย" กัปตันทีมชาติเยอรมันกล่าว

    ตอบลบ
  31. ชิน ทำเซียนหรอ ถุยยย

    ตอบลบ
  32. โบลต์วัย 23 ปี เข้ามานั่งชมเกมลาลีกา ในสนาม ซานติอาโก เบร์นาเบว ในนัดที่ เรอัล มาดริด พบกับ เดปอร์ติโว ลาคอลุนญา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่ง โรนัลโด ซัดหนึ่งจุดโทษ ก่อนช่วยให้ทีมคว้าชัยนัดเปิดฤดูกาลไป 3-2

    หลัง จากแมตช์ดังกล่าว เจ้าของสถิติโลกวิ่ง 100 เมตร และ 200 เมตร ลุกออกมาจากสแตนด์ เข้ามาในห้องแต่งตัวของทีม "ราชันชุดขาว" เพื่อมาทักทายและแสดงความยินดีกับ ปีกจอมถล่มประตูวัย 24 ปี และขุนพล "กาลาติกอส" ทั้งหมด

    โบลต์ และ โรนัลโด ได้แลกกันโชว์กล้ามแขนเป็นหมัดๆ ของตัวเองพอเป็นพิธี ต่อจากนั้น เจ้าของนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ได้ร่วมทำท่าชูแขนเป็นรูปสายฟ้า ซึ่งเป็นท่าประจำของ โบลต์ ก่อนลงเอยด้วยการแลกเสื้อกันในที่สุด

    ตอบลบ
  33. แอชลีย์​ โคล แบ็กซ้ายตัวเก่งของ เชลซี จัดการต่อสัญญากับทีม "สิงห์บลู" ต่อไปอีก 4 ปี ซึ่งจะทำให้เขาขยายเวลาค้าแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ออกไปจนถึงปี 2013

    กองหลังทีมชาติอังกฤษ ลงสนามให้กับต้นสังกัดไปทั้งสิ้น 135 นัด นับตั้งแต่เก็บกระเป๋าย้ายจาก อาร์เซนอล มาร่วมทีม เมื่อเดือนส.ค.ปี 2006 และช่วยให้ เชลซี คว้าแชมป์เอฟเอคัพ ได้ 2 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 1 สมัย รวมถึงพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อปี 2008

    คา ร์โล อันเชลอตติ นายใหญ่ชาวอิตาเลียน กล่าวว่า "ผมดีใจมากๆ ที่แอชลีย์ อยู่กับ เชลซีต่อป เขาเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของโลก แต่ผมเชื่อว่า เขายังดีได้กว่านี้อีก และผมยินดีมาก หากมันจะเกิดขึ้นที่นี่"

    อนึ่ง การสะบัดปากกาในครั้งนี้ทำให้ โคล เป็นนักเตะรายล่าสุดที่ตัดสินใจฝากอนาคตกับทีม "สิงโตนำ้เงินคราม" ต่อจาก จอห์น เทอร์รี ซึ่งเพิ่งจะต่อสัญญาออกไปอีก 5 ปี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา, ดิดิเยร์ ดร็อกบา, จอห์น โอบี มิเกล และ ฟลอรองต์ มาลูดา

    ขณะเดียวกัน นิคลาส เบนท์เนอร์ และ เดนิลสัน สองดาวรุ่งของ อาร์เซนอล ก็ไม่น้อยหน้า พร้อมใจกันต่อสัญญาฉบับใหม่ระยะยาวกับต้นสังกัดออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นกัน

    เบนท์เนอร์ วัย 21 ปี ยิงไป 15 ประตู ในการลงเล่น 50 นัด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมวัยเดียวกันอย่าง เดนิลสัน ที่ก็ได้รับโอกาสให้ลงโชว์ฝีเท้ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม "เดอะกันเนอร์ส" ไม่ได้ออกมายืนยันว่าทั้งคู่ต่อได้สัญญากับทีมเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ โดยเผยเพียงแต่ว่าเป็นสัญญาระยะยาวเท่านั้น

    อาร์แซน เวงเกอร์ นายใหญ่ของทีม "ปืนโต" กล่าวถึง เบนท์เนอร์ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมากองหน้าในทีม 11 ตัวจริงในฤดูกาลนี้ หลังการจากไป ของ เอ็มนูเอล อเดบายอร์ ว่า "เขายิงประตูสำคัญๆ ได้หลายลูก และจะทำเช่นนั้นไปเรื่อยๆแน่"

    " ไม่เพียงแค่การทำประตู เขายังพัฒนาฝีเท้าในทุกๆด้านอย่างต่อเนื่อง ผมประทับใจความทุ่มเทของนิคลาส ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมาและคุณได้เห็นแล้วว่า เขาต้องการแข่งขันในเกมระดับสูง และคว้าแชมป์ต่างๆ กับเพื่อนร่วมทีม" กุนซือชาวฝรั่งเศส กล่าว

    ตอบลบ
  34. สโมสรฟุตบอล เชลซี แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถูกคณะกรรมการแก้ปัญหาข้อพิพาทของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ออกคำสั่งลงโทษ ห้ามเซ็นสัญญานักเตะใหม่มาร่วมทีมเป็นเวลา 18 เดือน หรือจนถึงต้นปี 2011 หลังจาก ล็องส์ ทีมดังในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ยื่นเรื่องร้องเรียนว่ายอดทีมแดนผู้ดีมาทำการโน้มน้าว กาแอล คาคูต้า นักเตะเลือดน้ำหอมของทีม ให้ฉีกสัญญากับสโมสร และย้ายไปค้าแข้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แทน


    ฟีฟ่า เผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า เชลซี จะไม่สามารถคว้านักเตะใหม่ทั้งจากในอังกฤษและในต่างประเทศมาร่วมทีมได้ ในช่วงเปิดตลาดซื้อ-ขายนักเตะเดือนมกราคม ศกหน้า รวมถึงในช่วงปิดฤดูกาลหน้าด้วย ขณะเดียวกัน คณะกรรมการแก้ปัญหาข้อพิพาทของ ฟีฟ่า ยังสั่งห้าม คาคูต้า ลงสนามเป็นเวลา 4 เดือน พร้อมสั่งให้เจ้าตัวและ "สิงห์บลูส์" ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับ ล็องส์ เป็นเงิน 780,000 ยูโร หรือราว 37.44 ล้านบาท อีกด้วย


    อย่างไรก็ตาม เชลซี ซึ่งยังต้องจ่ายค่าตัวของ คาคูต้า ให้กับ ล็องส์ เพิ่มอีก 130,000 ยูโร ด้วยนั้น ยังมีโอกาสที่จะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวได้ต่อไป

    ตอบลบ
  35. ปีนี้ Man U แชมป์UEFA CHAMPION League ชัวร์

    ตอบลบ
  36. ไม่ระบุชื่อ10 กันยายน 2552 เวลา 12:28

    boom assumption พร้อม 34.
    Veed............Boom La
    AS SU MP TI ON Assumption Assumption La...
    AS SU MP TI ON Assumption Assumption La...
    Veed............Boom La
    AS SU MP TI ON Assumption Assumption La...
    AS SU MP TI ON Assumption Assumption La...
    / / / / / / //// 1 2 1 2 1 2 3 4 /// /// // // / AC!!

    ตอบลบ
  37. ไม่ระบุชื่อ10 กันยายน 2552 เวลา 12:33

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  38. มี...ของดีมาบอก

    สยองหน่อยนะครับ

    55

    เรื่อง 7 สุดยอด อาหารสุดโหดบนโลกใบนี้ !!!


    1. ปลาหยิงหยาง(Yin Yang Fish)

    ปลา หยิงหยาง(Yin Yang Fish) เป็นอาหารจากประเทศจีน วิธีทำคือจุ่มปลาเป็นใส่ลงไปในน้ำมัน และที่ทอดขณะมันมีชีวิตอยู่ โดยคนจีนเชื่อว่าการทานอาหารชนิดนี้ถือว่าเป็นเป็นยาชูกำลัง คนครัวจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึงพุงปลา และถือมันจากนั้นก็เอาส่วนหางของปลาจุ่มลงในน้ำมันร้อนเดือด ก่อนที่จะไหลส่วนตัวลงทอดตามลำดับ เหลือแต่ส่วนหัวไว้(ทอดครึ่งตัว) ซึ่งในจุดนี้ปลายังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียวมาก เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ถ้ามันพูดภาษาคนได้มันคงพูดว่า "ร้อน....โว้ย" ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ไม่ให้ดิ้น รอจนเนื้อปลาสุกเป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมา วางบนจานแต่งและราดน้ำซอสเครื่องเคียง ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ ปลายังคงอ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้ แต่ครึ่งล่างทอดจนสุกสามารถกินได้ เป็นอันเสร็จพิธีสูตรลับอาหารโบราณ


    2. อิคคีซึคุริ (Ikizukuri)

    คุณ กำลังคิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน มีประเพณีที่แสนงดงาม คุณอาจคิดผิดก็ได้เพราะความโหดร้ายมักแฝงรูปของอาหารเสมอ โดยเฉพาะอาหารที่ชื่อ Ikizukuri แม้ชื่อออกจะน่ารัก แต่ทันที่คุณเห็นมัน โอ้!! มันน่ากลัวเหลือเกิน จนพูดไม่ออก........

    อิคคีซึคุริ(Ikizukuri) มีความหมายว่า "ตระเตรียมขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่" เป็นอาหารปลาที่ซึ่งแล่บางๆ และบริโภคทันทีจากปลาซึ่งยังชีวิตอยู่

    วิธีการทำก็เริ่มจากเลือกปลาสำหรับนำฆ่า จากนั้นคนครัวที่มีความชำนาญมีดระดับเมตริกซ์ จะผ่าท้องปลาในขณะเป็นๆ เพื่อความสด ลากไส้พุงออกบางส่วน จากนั้นเขาก็แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางๆ จนเหลือแต่หัวกับก้าง โดยไม่ฆ่ามัน จากนั้นก็จัดแต่งสวยงาม ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และเสิร์ฟดั่งภาพ เวลาคุณกินอาหารนี้คุณอาจได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้นตุ้บๆ และเห็นจังหวะการเต้น เหงือกปลายังคงการทำงาน พยายามหอบหาอากาศหายใจ ตาของมันขยับไปมาเวลาคุณหยิบเนื้อของมันมากิน

    และเหล่านั้นคือความสนุกของการกินอิคคีซึคุริ

    ตอบลบ
  39. เรื่อง 7 สุดยอด อาหารสุดโหดบนโลกใบนี้ !!! (ต่อ)


    3. ออโต้ลัน ( Ortolan)

    นก ortolan เป็นนกป่าน่ารักตัวเล็กๆ ร้องเพลงไพเราะ ตัวประมาณหกนิ้วยาว หนักประมาณสี่ออนซ์ แต่คนฝรั่งเศสเห็นนกนั้นเป็นอาหารมากกว่าสัตว์เลี้ยง แถมวิธีทำนั้นก็แสนที่คนรักนกรับไม่ได้!! (อาหารชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากพระที่ชื่อ Jean Anthelme Brillat-Savarin ได้คิดสูตรอาหารเพื่อซ่อนความตะกละของเขา)

    เคล็ดลับการทำอาหารจาก Ortolan (มีชื่อเต็มๆ คือ Ortolan au Mitterrand) เริ่มจากการจับนกและทำให้ตามันบอดโดยใช้ที่ปากคีบ และใส่ในกรงแคบๆ เพื่อไม่ให้หนี เก็บมันไว้แล้วขุนอาหารด้วยข้าวเดือย, องุ่น และพืชจำพวกFicus จนมันมีขนาดตัวเกินประมาณ 4 เท่าของขนาดมันแล้ว ก็นำไปทรมานโดยจุ่มลวกเป็นๆ กินทั้งตัว(ดูจากภาพจะเห็นว่าเขาผ่าท้องเพื่อล้างกระเพาะขี้ ไส้ของมัน) เวลามันโดนน้ำร้อนลวกดิ้นทุรนทุรายก็อย่าสนใจมัน ปล่อยมันตายคาน้ำเดือดซะ ก็จะได้อาหารที่โครตสด ที่ชื่อ Ortolan กินกับเหล้าบรั่นดีเป็นอันเสร็จพิธี

    แต่ความสนุกของอาหารชนิดนี้คือการที่คุณจะต้องกินมันทั้งตัว และเมื่อนกอยู่ในปากของคุณคุณก็ต้องเคี้ยวเนื้อทั้งหมดไม่ว่าจงอยปาก หัวของมัน ฟันที่กัดผ่านกระดูกเล็กๆ เสียงกร็อบๆ และฉากสุดท้ายคือนกตัวนั้นได้ไปอยู่กระเพาะอาหารของคุณซะแล้ว .......น่ากินซะที่ไหน


    4. ฟัวกราส์ ( Foie Gras)

    ฟัว กราส์(Foie Gras) เป็นตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนจนตับมีขนาดใหญ่กว่าตับธรรมดาหลาย เท่า มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติอร่อยแทบละลายในปาก

    แน่ นอนการทำที่ได้ฟัวกราส์ เขาคงไม่ไม่ปล่อยเป็ด(ห่าน)เดินเล่นสนุกสนานๆ แน่ พวกนั้นจะถูกขังในแดนหรรษาที่แคบและมืดจนไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ ชีวิตของมันแต่ละวันจะหมดไปกับการกินๆ เท่านั้น กินลูกเดียว กินหัวอาหารพิเศษที่ทำให้ตับทำงานหนัก และเมื่อห่านกินไม่ไหวคนเลี้ยงก็จับห่านบีบคอกรอกอาหารด้วยหลอด(ท่อ)ใส่ อาหารโดยไม่สนว่ามันจะกินอิ่มหรือเปล่า(วันละ 2-3 ครั้ง)
    เมื่อได้ระยะที่ต้องการก็นำมาฆ่า ผ่าท้องก็จะได้ตับห่านสีขาว (หรือตับเป็ด) ที่มีขนาดโตผิดปกติ เราคงคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นการ์ตูนละก็ ผิดถนัด และบทสรุปนั้นเลวร้ายกว่ามาก ใช่ว่าห่านบางตัวจะสามารถผลิตฟัวกราส์ ได้ หลายตัวมักตายในขณะที่ขุน เช่นท้องแตกตาย ตูดพัง ปากฉีก ฯลฯ มันอาจจะดูทารุณเล็กน้อย แต่เพื่อปากของผุ้บริโภคและเงินมันก็ต้องทำแบบนี้แหละ

    ตอบลบ
  40. เรื่อง 7 สุดยอด อาหารสุดโหดบนโลกใบนี้ !!! (ต่อ)


    5. โดะโจ โทฟุ ( Dojo Tofu )

    ใน ตะวันตกเรียกอก อาหารจานนี้ว่า "หม้อนรก" แต่สำหรับญี่ปุ่นแล้วมันเป็นอาหารละเอียดอ่อนที่มีประวัติและตำนานมายาวนาน ซึ่งเป็นอาหารเต้าหู้ต้นตำหรับของเมืองจุ่งหนานในประเทศจีนโบราณที่ทำจากปลา โดะโจ (Dojo) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กลักษณะคล้ายปลาไหล ซึ่งนิยมกินกันในหมู่คนชั้นสูงและคนทำงาน เพราะมันได้พลัง (โดะโจ โทฟุมีอีกชื่อหนึ่งคือหม้อไฟยานางิกาวะ ซึ่งที่มาของชื่อนั้นมาจากร้านอาหารที่ทำอาหารชนิดนี้ในสมัยโอโดะนั้นเอง) เคล็ดลับในการทำก็คล้ายๆ กับต้มเปรตบ้านเราแหละ เริ่มจากต้มน้ำซุปให้เดือด และใส่เต้าหู้ก้อนใหญ่ๆ และเอาปลาโดะโจตัวเป็นๆ หลายๆ ตัว ใส่ลงหม้อ เมื่อน้ำในหม้อร้อนปลาโดะโจจะดิ้นรนหนีตายจากน้ำที่เดือดนั้นโดยมุดเข้าหา ที่เย็นๆ นั้นคือเต้าหู้โดยเริ่มจากส่วนหัวซึ่งเมื่อมุดเข้าไปจะยากออกมาได้ จนกระทั้งมันตายคาเต้าหู้ทำให้สารอาหารจากตัวปลาจะซึมเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ จากนั้นก็ปรุงด้วยไข่และพริกไทยและต้มต่อไปจนมีกลิ่นหอมอาหาร ชนิดนี้ปัจจุบันมักถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลอาหารในการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งเห็นได้ว่าวัฒนธรรมนี้มันได้กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว


    6. เฟง กัน จี (Feng Gan Ji)

    ฟง กัน จี (Feng Gan Ji) อาหารจากประเทศจีนและทิเบต มีความหมายว่า 'ไก่ตาก-ลม' สิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้สำหรับเมนูนี้มีด้วยกันสี่อย่าง ได้แก่ ไก่เป็นๆหนึ่งตัว มีดคมๆซักเล่ม เชฟผู้มีฝีมือและสุดท้าย จิตใจที่ดำและเย็นชาราวกับไม่มีชีวิตที่สุด

    จำฉากหนึ่งในหนังแบทแมนภาค the Dark Knight ได้ไหม?? ฉากที่ตัวตลกเย็บระเบิดใส่ในท้องของลูกน้องตัวเอง เมนูนี้ก็เป็นประมาณนั้นแหละ แต่ต่างกันแค่ตรงที่เชฟจะใช้เครื่องปรุง พริก สมุนไพรหรือส่วนผสมลับอะไรก็ตามแต่ ควักไส้สดๆออกมา ยัดส่วนผสมเข้าไป แล้วก็เย็บกลับคืน จากนั้นก็แขวนมันไว้ให้ลมพัดให้มันแห้ง แน่นอนตอนที่ผ่าท้องไก่ยัดใส่ไก่ จะทำในขณะที่ไก่ยังเป็นๆ ไม่ได้ฆ่าก่อนผ่าท้องแต่อย่างใด.....
    ไก่จะสนุกกับการร้องกะต๊ากๆซึ่งคล้ายกับ เสียงตะโกนสาปแช่งมาในสายลมว่า "เพื่อความรักของพระเจ้า พวกแกทำแบบนี้กับพวกเราทำไม!?" ในวินาทีอันแสนสั้นแห่งความเจ็บปวดหลังถูกทรมาน พวกมันดิ้นรนเพื่อที่จะดูพวกของมันถูกชำแหละตามกันมาด้วยการถูกทรมานในแบบ เดียวกับที่มันเคยเผชิญ และเมื่อพวกมันส่งเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย สิ่งที่มันจะได้พบก็คือ ซากไส้ของมันเอง และเพื่อนพี่น้องของมันที่กำลังถูกทรมานอย่างทารุณ........ มีใครหิวไหม?

    ตอบลบ
  41. เรื่อง 7 สุดยอด อาหารสุดโหดบนโลกใบนี้ !!! (ต่อ)


    7. เฟรช ดันคี ( Fresh Donkey)

    อาหารอันดับหนึ่งมาจากประเทศจีน มันอาจไม่โหดเท่ากินเนื้อคนปากัวนิกีนี แต่ เรื่องของเรื่องคือ เนื้อลา เป็นสัตว์ที่ลงความเห็นว่ารับประทานได้ เนื้อลาเป็นที่นิยมในประเทศจีน หาได้ทั่วไปเหมือนเนื้อหมูและเนื้อวัว และมีหลายเมนูด้วยกัน แต่ที่เราขอแนะนำต่อไปนี้คือ Huo Jia Lu (แปลว่า "ลาสด") อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากตำนานจีนที่แสนยิ่งใหญ่อย่างที่บอกเมนูนี้เขียนว่าลาสด แน่นอนวิธีทำก็ต้องเอาลาเป็นๆ และจากนั้นก็มัดขาให้อยู่กับที่ไม่ให้ไปไหน ร่างของมันจะถูกควบคุมโดยทีมผู้ทรมานหรือ ที่เรียกกันว่า "พ่อครัว" เขาตัดเนื้อส่วนที่นุ่มๆ แล้วเสิร์ฟมันทันทีให้ผู้รับประทานมันท่ามกลางเสียร้องอันนโหยหวนของลา ผู้ชำแหละจะแล่หนังของลา แล้วราดน้ำเดือดลงสู่เนื้อสดๆ จนมันสุก แล้วเค้าก็หยิบมีดของเค้า จากนั้นก็หั่นมันทั้งอย่างนั้น


    จบแล้วงับ

    อยากจะศึกษาเพิ่มเติมก็มาที่เว็บ
    http://fwd-amazingworld.blogspot.com/

    ในเว็บนี้มีเรื่องดีดีมากมายที่อยากจะนำมานำเสนอ
    มีทั้งเรื่องขำๆและเรื่องสยองขวัญ รับรับสนุกแน่

    ไปละ
    บาย

    ขอให้โชคดี

    ตอบลบ
  42. ชิน คุณโพสข้อความวรนัสอะไร ปัญญาอ่อน ไม่มีสาระ ทำให้คนอื่นกินข้าวไม่ลง

    ตอบลบ
  43. "สิงโตคำราม" อังกฤษ คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก 2010 ได้สำเร็จหลังจากที่เปิดเวมบลีย์ ล้างแค้นโครเอเชีย ไปแบบสะใจ 5-1 โดยเกมนี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด และสตีเว่น เจอร์ราร์ด ช่วยกันทำคนละ 2 ประตู ส่วนอีกลูกเป็นโควต้าของเวย์น รูนี่ย์




    ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010 โซนยุโรป กลุ่มที่ 6 (9 ก.ย.2552)

    อังกฤษ 5-1 โครเอเชีย
    สนาม : เวมบลีย์
    ประตู : 1-0 แฟรงค์ แลมพาร์ด น. 7, 2-0 สตีเว่น เจอร๋ราร์ด น.19, 3-0 แฟรงค์ แลมพาร์ด น.59, 4-0 สตีเว่น เจอร์ราร์ด น.67, 4-1 เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา น.72, 5-1 เวย์น รูนี่ย์ น.77

    "สิงโตคำราม" อังกฤษ ลงสนามในเวมบลีย์ต้อนรับการมาเยือนของโครเอเชีย คู่ปรับที่เคยมีบัญชีแค้นกันมาตั้งแต่ฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือกเมื่อ 2 ปีก่อนที่ฝ่ายหลังเคยบุกมาเอาชนะที่สนามแห่งนี้ในเกมสุดท้ายส่งอังกฤษ ตกรอบคัดเลอกยูโร 2008

    นัดนี้ฟาบิโอ คาเปลโล่ ให้เอมิล เฮสกี้ ยืนเป็นหัวหอกตัวจริงคู่กับ เวย์น รูนี่ย์ เหมือนเดิมและให้ อารอน เลนน่อน ปีกขวาจากสเปอร์ส ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงกระชากทำเกมทางปีกขวา ขณะที่โครแอต มีปัญหาทั้ง ลูก้า โมดริช เพลย์เมคเกอร์ตัวกลั่น

    อังกฤษ ลงสนามด้วยความมุ่งมั่นด้วยความต้องการที่จะคว้าชัยชนะเพือเข้ารอบให้ได้เนื่องจากเกมนี้หากได้ 3 แต้มเต็มก็จะเข้ารอบสุดท้ายทันทีโดยไม่ต้องสนใจ ส่วนโครเอเชีย นัดนี้หากไม่ชนะก็ต้องลุ้นหนักเช่นกันในการช่วงชิงอันดับที่ 2

    และแค่ 7 นาที อังกฤษ ก็มาได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วเมือ เลนน่อน ได้บอลทางปีกขวาก่อนที่จะกระชากตัดเข้าในและมาโดน โยซิป ซิมูนิช ดักขาร่วงลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษไม่ต้องลังเล และเป็นทางด้าน แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่รับอาสายิงเข้าไปแบบนิ่มๆทำให้เจ้าบ้านได้ประตูที่ต้องการ 1-0 อย่างรวดเร็วสุดๆ

    สิงโตคำรามยังเดินหน้าบุกต่อเนื่องและมาได้ลุ้นประตูที่ 2 อีกจากลูกยิงไกลสุดมันของ แกเร็ธ แบร์รี่ ที่ตะบันจากระยะกว่า 30 หลา บอลติดไซด์ก้อยน่าเข้าสุดๆแต่ว่า รันเย่ นายทวารโครแอตก็ไวทายาทบินไปเซฟได้อย่างหวุดหวิด

    แต่ถึงนาทีที่ 19 ตาข่ายโครเอเชีย ก็สะเทือนอีกรอบเมื่อ เจอร์ราร์ด เปิดบอลออกทางขวาให้ เลนน่อน หลุดไปครอสบอลเข้ามาก่อนที่สตีวี่จี จะวิ่งไปเติมที่เสาสองและโขกย้อนศรเข้าไปตุงตาข่ายได้สำเร็จ

    ช่วงเวลาที่เหลือในครึ่งแรก อังกฤษ ก็ยังเล่นได้เหนือกว่ามากและเป็นฝ่ายที่รักษสกอร์นำ 2-0 เอาไว้ได้สำเร็จ ได้ตั๋วไปฟุตบอลโลก 2010 มาครึ่งใบแล้ว

    ครึ่งหลัง โครเอเชีย พยายามแก้ลำโดย สลาเวน บิลิช ส่งตัวสำรองลงมาหวังพลิกเกมโดยส่ง มลาเดน เปตริช และอิวาน ราคิติช ลงสนามมา ซึ่งก็ทำให้รูปเกมของ โครเอเชีย ดีขึ้นมาพอสมควรเลยทีเดียว

    ถึงนาทีที่ 55 โครเอเชีย เรียกร้องจะเอาจุดโทษบ้างหลังจากที่ มันด์ซูซิช เปิดบอลเข้ามาที่เสาไกลให้ เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา แต่ว่าโดนเกล็น จอห์นสัน โขกสกัดเอาไว้ได้ ซึ่งในจังหวะนี้เป็นลูกปัญหาเพราะภาพช้าแสดงให้เห็นชัดว่า จอห์นสัน น่าจะทำฟาวล์

    แต่เล่นไปเล่นมา กลับเป็นจอห์นสัน ที่ช่วยให้อังกฤษ หนีห่างออกไปเป็น 3-0 อีกเมื่อ เลนน่อน ลากบอลเข้ามาที่ระยะ 30 หลาก่อนจะโดนสกัด บอลมาเข้าเท้าเจอร์ราร์ด ที่ไม่หยุดเล่น จ่ายออกขวาให้จอห์นสัน ที่เติมขึ้นไปสับขาหลอกกองหลังก่อนจะเปิดหักเข้ามากลางอย่างแม่นยำให้แลมพาร์ด ขวิดบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้สำเรจ เป็นประตูที่ 2 ของตัวเองในเกมนี้

    หลังโดนเม็ดนี้ โครเอเชียก็เหมือนถอดใจไปด้วย และถึงนาทีที่ 67 อังกฤษ ก็ได้ประตู 4-0 อีกเมือ เจอร์ราร์ด ทำชิ่งจังหวะเดียวให้ รูนี่ย์ หลุดเข้าไปในเขตโทษถึงสุดเส้นหลังก่อนจะเปิดตักโด่งเข้ามาให้ เจอร์ราร์ด วิ่งเติมมาโขกย้อยตกใต้คานเข้าไปอย่างเหนือชั้น

    แต่หลังจากนั้น โครเอเชีย ก็ยังมาไล่ตีไข่แตกได้เป็น 4-1 จากเอดูอาร์โด้ เมื่อตามซ้ำจ่อๆหน้าเขตโทษเข้าไปหลัง โรเบิร์ต กรีน ซูเปอร์เซฟช่วยให้อังกฤษ 2 จังหวะก่อนหน้านั้น

    ทว่าแทนที่จะใช้โอกาสนี้ไล่กลับมา โครเอเชีย กลับพลาดแบบไม่น่าให้อภัยเมื่อกริซานัส ส่งบอลคืนหลังให้รันเย่ แต่นายทวารจอมหนึบกลับพลาดแบบเหลือเชื่อด้วยการเตะปลิ้นบอลไปเข้าเท้ารูนี่ย์ เก็บส้มหล่นแปเข้าไปง่ายสุดๆ ซึงก็กลายเป็นประตูสุดท้ายในชัยชนะ 5-1 ของอังกฤษ ได้เข้ารอบฟุตบอลโลกสำเร็จด้วยผลงานชนะรวด 8 นัดในรอบคัดเลือก ส่วนโครเอเชีย ต้องไปลุ้นเหนื่อยในอีก 2 เกมที่เหลือต่อไป

    ตอบลบ
  44. อังเดร อาร์ชาวิน
    เพลย์เมกเกอร์ร่างเล็กชาวรัสเซีย แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในศึกยูโร 2008 เมื่อพาทีม "หมีขาว" ทะลุเข้าถึงรอบตัดเชือก หลังจากที่เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก หักปากกาเซียนด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ 2007/08 มาแล้ว




    การเล่นอยู่ในลีก รัสเซีย ทำให้แฟนบอลทั้งในยุโรปและบ้านเราอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องของ อาร์ชาวิน มากนัก จนกระทั่งเขาสามารถนำ เซนิต ผงาดคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยเล็กมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการถล่ม "เต็งหนึ่ง" อย่างบาเยิร์น มิวนิค แบบเละเทะในรอบตัดเชือก ก่อนจะมาเจิดจรัสในเวทียูโร 2008 จนได้รับความสนใจจากหลายสโมสรอยู่ในเวลานี้

    หลังจากที่เรียนจบจากโรงเรียนฟุตบอลสเมน่า อาร์ชาวิน ก็ได้เริ่มต้นลงเล่นอาชีพกับเซนิต-2 ซึ่งอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 ของลีกหมีขาว ในปี 1999

    ถัดมาปีเดียว อาร์ชาวิน ก็ถูกเรียกต่อขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของเซนิต และได้ประเดิมสนามครั้งแรกในเกมที่เอาชนะ แบร๊ดฟอร์ด ซิตี้ 3-0 ในศึกอินเตอร์โตโต้ คัพ โดยเขาเริ่มต้นจากการเป็นมิดฟิลด์ฝั่งขวา ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก และขยับมาเล่นเป็นกองหน้าตัวต่ำในท้ายที่สุด

    ความสามารถเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยมและการเป็นผู้นำ ทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของรัสเชียน พรีเมียร์ ลีก ไปครองในปี 2000 แบบไร้ข้อโต้แย้ง

    ฤดูกาล 2007 อาร์ชาวิน ช่วยให้ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก คว้าแชมป์ลีกไปครอง ด้วยการลงเล่นเป็นตัวจริงทั้ง 30 นัด และจบซีซั่นด้วยการกดไป 10 ประตู และทำแอสซิสต์ไปอีก 11 ลูก และนั่นเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกของสโมสร นับตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกสูงสุดของรัสเซียขึ้นมาเมื่อปี 1984 นอกจากนั้น ยังช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ด้วย

    ในเดือนมิถุนายน 2008 ดิ๊ค อัตโวคาท กุนซือของเซนิต ประกาศว่า อาร์ชาวิน ต้องการจะย้ายจากสโมสร และในวันที่ 26 เดือนเดียวกัน เซนิต ก็ได้ยืนยันว่า บาร์เซโลน่า ได้ติดต่อขอซื้อหัวหอกทีมชาติรัสเซียจริง หลังจากที่เจ้าตัวเผยว่ามี "เจ้าบุญทุ่ม" เป็นสโมสรในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก

    นอกจากนั้น อาร์ชาวิน ยังตกเป็นข่าวกับเชลซี และ อาร์เซน่อล สองทีมดังจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยค่าตัวราว 10 ล้านปอนด์ (670 ล้านบาท) ด้วย

    ด้าน ผลงานกับทีมชาตินั้น อาร์ชาวิน ได้ลงเล่นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2002 ในเกมที่พบกับ เบลารุส ขณะที่ประตูแรกในนามทีมชาติเกิดขึ้นในนัดกระชับมิตรกับ โรมาเนีย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2003 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ทำประตูได้อย่างต่อเนื่องในทุกรายการที่ทีม "หมีขาว" ลงแข่งขัน โดยเขาได้เป็นกัปตันทีมในศึกยูโร 2008 รอบคัดเลือกกับ เอสโตเนีย ด้วย

    อาร์ชาวิน มีชื่ออยู่ในทีมชาติรัสเซีย ชุดลุยศึกยูโร 2008 ภายใต้การคุมทีมของ กุส ฮิดดิงค์ แม้ว่าจะไม่สามารถลงเล่น 2 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มได้เพราะติดโทษแบนมาจากรอบคัดเลือกก็ตาม แต่เมื่อมีโอกาสได้กลับมาเล่นในนัดสุดท้ายเขาก็สามารถทำแอสซิสต์ให้เพื่อนทำประตูแรก ก่อนจะมามีชื่อเป็นผู้ทำประตูเองในลูกที่ 2 ซึ่ง รัสเซีย เอาชนะ สวีเดน พร้อมกับผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาต์ได้แบบพลิกความคาดหมาย

    ในเกมต่อมา อาร์ชาวิน ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ฮิสดิงค์ คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจใส่ชื่อเขาอยู่ในทีม เมื่อโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและมีส่วนในการทำประตูถึง 2 ลูกในช่วงต่อเวลาพิเศษ ให้ "หมีขาว" พลิกล็อกเอาชนะทีมเต็งแชมป์อย่าง ฮอลแลนด์ ไปได้ 3-1 โดยทั้งสองแมตช์ เขาไดรับการคัดเลือกจากยูฟ่า ให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ด้วย

    อย่างไรก็ตาม ในรอบรองชนะเลิศ อาร์ชาวิน ไม่สามารถทำผลงานได้ดีเหมือนเดิม และการที่เขาถูกปิดตายจากเกม ก็ทำให้ รัสเซีย ถูก สเปน ถล่มยับ 3-0 ก่อนที่ "กระทิงดุ" จะกรุยทางสู่การคว้าแชมป์ด้วยการเฉือนชนะ เยอรมัน 1-0 กระนั้นก็ตาม เขายังได้รับการคัดเลือกจากยูฟ่าให้ติดทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ด้วย

    การถูกตัดไปจากเกมอย่างสิ้นเชิงนั้น ทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซน่อล ตั้งคำถามว่า อาร์ชาวิน จะแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดได้ตลอดฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ ขณะที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชชาวโปรตุกีส ก็ออกมายืนยันว่าเขาไม่สนใจที่จะดึงเพลย์เมเกอร์ร่างเล็กรายนี้มาเล่นให้ อินเตอร์ มิลาน เพราะไม่แน่ใจว่าจะดีพอสำหรับลีกที่ดีที่สุดในโลกอย่างอิตาลีได้



    ข้อมูลส่วนตัว
    ชื่อ : อังเดร เซอร์เกเยวิช อาร์ชาวิน
    วันเกิด : 27 พฤษภาคม 1981
    เกิดที่ : เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก, รัสเซีย
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวรุก, กองหน้าต่ำ
    ส่วนสูง : 172 ซม.
    สโมสรปัจจุบัน : เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก
    หมายเลขเสื้อ : 10

    สโมสรอาชีพ
    ปี
    สโมสร
    ลงเล่น
    ประตู

    2000 - ปัจจุบัน เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก 217 47
    (นับถึงวันที่ 18 มิ.ย. 2008)

    ทีมชาติ
    2002 - ปัจจุบัน รัสเซีย 37 13
    (นับถึงวันที่ 26 มิ.ย. 2008)

    ตอบลบ
  45. ชิน ถ้านายแก้โจทย์ข้อนี้ได้ในเวลา10วินาที โดยไม่ใช้เครื่องคิดเลข
    GU จะให้ 20,000
    1000+500+999999+12238923-54574538-87438+7433355-132=6000=3232-999-893+455657=เท่าไร

    ตอบลบ
  46. ได้เป็นนักกีฬาเครือแล้วโว้ย

    ตอบลบ